ประเภทของไหม


ร้อยไหมที่นิยม ใช้



ไหมชนิดละลาย



ไหมละลาย PDO 

แบบเรียบ เป็นไหมละลายที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยชาวเกาหลี เป็นไหมที่ใช้ในการเย็บเส้นเลือดในร่างกายเราอยู่แล้วนอกจากจะปลอดภัย และลดโอกาสในการแพ้แล้ว ยังสามารถที่จะขับออกจากร่างกายได้เองเมื่อระยะเวลาผ่านไป 6-8 เดือน โดยหลังการร้อยไหม จะเห็นผลทันทีประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ แต่จะเห็นผลชัดเจน เมื่อผิวหน้าของเราเข้าที่ ประมาณ 4-8 เดือน และเห็นผลเป็นเวลานานถึง 2 ปีเป็นอย่างต่ำ การร้อยไหมชนิดนี้ ไม่จำเป็นต้องฉีดยาชา แค่ทายาชาก็เพียงพอแล้ว เพราะเป็นไหมเส้นเล็ก ไม่เจ็บมาก แต่จำเป็นต้องร้อยหลายเส้นเพื่อให้เห็นผลชัดเจน อย่างน้อยๆ20เส้นขึ้นไป

ไหมละลายPDO แบบมีเงี่ยง

  คือเส้นไหมที่มีเงี่ยงหรือมีหนาม มักเป็นไหมเส้นใหญ่ มีหลายชื่อ เช่น ไหมกุหลาบ ไหมก้างปลา ไหมจระเข้ และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับลักษณะของเงี่ยงที่แต่ละบริษัทผลิตออกมา และเป็นเทคโนโลยีการร้อยไหม ที่เป็นที่นิยมไม่น้อยทีเดียว สำหรับคนไทย เพราะเห็นผลอย่างรวดเร็วในการช่วยยกกระชับใบหน้า และสามารถที่จะช่วยเปลี่ยนรูปหน้าให้ดูเรียวเล็ก และเต่งตึงขึ้นทันทีหลังการทำเสร็จ ไหมชนิดนี้จะร้อยไม่ถึง 10 เส้น เพราะเส้นค่อนข้างใหญ่ ในการทำแต่ละครั้ง


ไหม PGA (ไหมกรวย)


 เป็นเส้นไหมที่ประกอบด้วยส่วนสำคัญ ส่วนได้แก่ ตัวเส้นไหมที่มัดเป็นปม และพลาสติกทรงกรวยที่อยู่ระหว่างปมของเส้นไหม มีลักษณะคล้ายกับไหมก้างปลา แต่มีระยะเวลาในการกำจัดออกจากร่างกายของเราช้ากว่าไหมละลายแบบ PDO (ไหมเรียบ ไหมเหงี่ยงจึงทำให้ผลลัพธ์หลังจากการทำการร้อยไหมอยู่ได้นานกว่า แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ไหมกรวยในการร้อยไหม ต้องใช้ความระมัดระวังมาก เพราะส่วนที่เป็นกรวยอาจจะบาดผิวหน้าได้ ในกรณีที่ผู้รับบริการเป็นคนผิวค่อนข้างบาง

 ไหมชนิดไม่ละลาย ได้แก่

ไหมทองคำ

เป็นไหมแบบไม่ละลาย ทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% ด้วยความเชื่อที่ว่าทองคำสามารถลดอาการอักเสบในชั้นเนื้อเยื่อของผิว และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และจะอยู่บนใบหน้าของผู้รับบริการได้เป็นระยะเวลานาน ด้วยคุณสมบัติของทองคำ จะช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว แต่อย่างไรก็ตาม ไหมประเภทนี้ มีราคาแพง และมีข้อต้องระวังค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องของการเข้าเครื่องสแกนต่างๆ รวมไปถึงการต้องงดทำเลเซอร์บางชนิด ที่อาจจะก่อให้เกิดความร้อน และทำให้ใบหน้าผิดรูปได้

ไหมที่ทำจากพลาสติก

ไหมพลาสติกประเภท พอลิโพไพรลีน” (polypropylene) ซึ่งเราสามารถมั่นใจได้ว่าสามารถนำมาใช้ได้ เนื่องจากทางการแพทย์นิยมใช้พลาสติกชนิดดังกล่าวเพื่อทำไหมเทียมในการเย็บแผล หรือเป็นวัสดุทางการแพทย์อื่นๆได้ ด้วยคุณสมบัติที่ทนความร้อนในการฆ่าเชื้อถึง 100℃ (Sterilization) ไหมดังกล่าวถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายก้างปลา เพื่อการดึงรั้งมัดกล้ามเนื้อบนผิวหน้าให้ยกกระชับ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพบว่าการใช้ไหมชนิดนี้มีผลข้างเคียงมากมายทั้งอาการอักเสบบริเวณปมของไหม หรือการพบเส้นไหมแทงออกมาบริเวณผิวหน้า จากการที่อีลาสติน (Elastin) ใต้ผิวบางลง ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Lipid) น้อยลง คอลลาเจนลดลง ซึ่งต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์อย่างมากในการผ่าตัดแก้ไขออกมา

ข้อควรปฏิบัติก่อนการร้อยไหม และหลังร้อยไหม

อย่างไรก็ตาม ระหว่างการร้อยไหมอาจมีเลือดออกได้ ผู้ที่เข้ารับการร้อยไหมควรเตรียมตัวโดยการหยุดทานยา หรืออาหารเสริมที่มีวิตามินอีเข้มข้น หรือสารสกัดจากถั่วเหลือง เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการเลือดไหลไม่หยุด และเกิดการอักเสบที่เพิ่มขึ้น หรือหากใช้ไหมประเภทโลหะควรหลีกเลี่ยงการเผชิญความร้อนสูงจากการทำทรีทเมนต์หรือเลเซอร์ เพื่อลดอาการบิดเบี้ยวของรูปหน้า ทั้งนี้การร้อยไหมจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และเทคนิคของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่าน ซึ่งการร้อยไหมที่ตื้นเกิดไปอาจทำให้พังผืดเกิดขึ้นผิดที่ หรือจำนวนไหมที่ใช้ก็ล้วนมีผลต่อรูปหน้าทั้งสิ้น โดยการคงอยู่ของรูปหน้าด้วยการร้อยไหมนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละบุคคล รวมทั้งการดูแลรักษาที่ควรได้รับคำแนะ
http://line.me/ti/p/@jk.clinic
โทร 043-270234

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ร้อยไหมเรียบหรือไหมPDOได้อะไร

ดริปผิว ??